เข้าใจผิด คิดว่า “คลองหลอด”


บทความโดย : Sarawut Wongsabsin 5 กุมภาพันธ์ 2568


ในวงการข้าราชการทหาร ตำรวจ คงต้องได้ยินประโยคนี้ผ่านหูมาบ้าง


“อยากซื้อเครื่องแบบทหาร ตำรวจ ต้องไปแถวคลองหลอด หลังกระทรวง”

ถ้าพูดถึง “คลองหลอด” หลายคนคงนึกถึงคลองเส้นหนึ่ง ที่อยู่ในเกาะรัตนโกสินทร์ เขตพระนคร กทม. โดยเส้นทางคลองเลียบถนนอัษฎางค์ตั้งแต่โรงเรียนราชินีล่าง ผ่านด้านหลังกรมที่ดิน(เก่า) ผ่านด้านหลังวังสราญรมย์ ผ่านด้านหน้ากระทรวงมหาดไทย (ที่อนาคตจะย้ายไปอยู่ ถ.เจริญนคร เขตคลองสาน) ผ่านด้านหลังศาลฏีกา ก่อนที่จะถูกสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้าสร้างค่อมไว้ ก่อนออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาแถวหัวถนนพระอาทิตย์

ย่อหน้าแรกที่ท่านได้อ่าน บอกเลยว่า เป็นข้อความที่ผิด ครับ

เพราะคลองที่ผมบรรยายนั้น ไม่ได้มีชื่อว่า “คลองหลอด” แต่อย่างใด ชื่อคลองที่ถูกต้อง แท้จริงแล้วเรียกว่า “คลองคูเมืองเดิม” ต่างหาก



คลองคูเมืองเดิม เป็นคลองที่ถูกขุดขึ้นสมัยกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง คืออยู่ระหว่าง พ.ศ.2310 - 2325 โดยแรงงานต้องข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาจากวังหลวง (ปัจจุบัน คือ วังเดิม) ฝั่งธนบุรี มาขุดคลองที่ฝั่งพระนคร (สมัยนั้น คงเป็นชุมชนชาวจีน ยังไม่มีพระบรมมหาราชวังแต่อย่างใด)

จุดประสงค์คือ ขุดไว้ป้องกันอริศัตรูทางฝั่งตะวันออก เช่น เขมร ลาว ญวน หรือพม่าตีตลบหลังอะไรก็ตามแต่ เดิมอาจจะเคยถูกเรียกว่า “คูเมืองฝั่งตะวันออก” ซึ่งปัจจุบัน ก็ได้รับการปรับภูมิทัศน์ให้อยู่ในสภาพที่ดี สามารถถ่ายรูปอัพ facebook ได้ไม่อายใคร


ในเมื่อมีคูเมืองฝั่งตะวันออกแล้ว ก็ต้องมีคูเมืองฝั่งตะวันตก เพียงแต่คูเมืองฝั่งตะวันตกนี้ ปัจจุบันอยู่ในสภาพที่นักวิชาการสายอนุรักษ์ต้อง “มองบน” เพราะถูกรุกล้ำด้วยบ้านเรือนและถนนจนแทบมองไม่เห็นสภาพคลองแล้ว แต่จริงๆแล้วยังมีคลองอยู่ข้างใต้ บางช่วงอาจเป็นแค่ Box Culvert ให้น้ำลอดผ่านถนนเท่านั้น

คูเมืองฝั่งตะวันตกนี้ มีแนวขนานไปกับถนนอรุณอัมรินทร์ เริ่มตั้งแต่หน้าวัดโมลีโลกยาราม ใกล้กับสะพานข้ามคลองบางกอกใหญ่ แนวคลองช่วงนี้จะขนานไปฝั่งซอยเลขคู่ของถนน พอถึงวัดเครือวัลย์ฯ แนวคลองก็เบี่ยงไปอยู่ฝั่งซอยเลขคี่ของถนน และไปเชื่อมกับคลองบางกอกน้อยแถวสถานีรถไฟบางกอกน้อย เป็นอันสิ้นสุด (บริเวณที่เห็นคลองสายนี้ได้ชัดเจนที่สุด คือ ถนนวังหลัง ข้างวัดวิเศษการ ห่างจากแยกศิริราช 50 เมตร) แต่พอเข้าสู่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2325 เป็นต้นมา) รัชกาลที่ 1 ก็ได้ย้ายราชธานีข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยามาอยู่ฝั่งพระนครในปัจจุบัน ซึ่งก็ยังอาศัยการวางผังเมืองในสมัยพระเจ้าตากฯ มา Modify ต่อ





ทีนี้ เขตพระนครแห่งใหม่ มีเนื้อที่อยู่แค่แนวแม่น้ำเจ้าพระยา ไปจนสุดที่คลองคูเมืองเดิม หรือคูเมืองฝั่งตะวันออก ถ้าเราใช้ GIS คำนวณขนาดเมืองคิดเป็นเนื้อที่ราวๆ 800 ไร่ เท่านั้น (ประมาณ 2 สวนลุมเศษๆ) ซึ่งเนื้อที่แค่นี้ คงไม่พอต่อการขยายจำนวนประชากร และสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ด้วยเหตุนี้ รัชกาลที่ 1 จึงต้องขยายเมืองออกทางฝั่งตะวันออกให้ไกลออกไปอีก 1 Step โดยขยายพื้นที่ออกไปอีกราวๆ 1,500 ไร่ และขุดคลอง 1 สายเป็นคูเมืองชั้นที่ 2 โดยเรียกคูเมืองนี้ว่า คือ “คลองรอบกรุง” (หมายเหตุ คลองรอบกรุง มีความยาวประมาณ 3.5 กิโลเมตร มีชื่อเรียกต่างกันในแต่ละช่วง เช่น คลองโอ่งอ่าง คลองบางลำพู คลองรอบกรุง เป็นต้น)

เท่ากับว่า ณ เวลานั้น เขตพระนคร มีคูเมือง 2 ชั้นแล้ว!!!


แต่พอมีคูเมือง 2 ชั้นแล้ว ก็ยังเกิด Pain Point ขึ้นมา เนื่องจาก คูเมืองชั้น 1 กับ คูเมืองชั้น 2 ไม่ได้มีเส้นทางเชื่อมโยงกันเลย!!!

เปรียบเหมือนตัดถนนขนานกันสองสาย แต่ไม่มีโครงข่ายเชื่อมโยงกัน ถนนนั้นก็ทำหน้าที่แค่ฟังก์ชันเดียว คือ เพื่อเดินทางจากจุด A ไป B เท่านั้น แต่ถ้ามีทางลัดให้ถนนสองสายนี้ สามารถเจอกันได้ระหว่างทาง ก็จะเป็นการเพิ่ม Node ให้เกิดโครงข่ายใหม่ๆ ได้ ทำให้เกิดฟังก์ชันใหม่ๆเพิ่มขึ้นได้ เช่น การขยายตัวของเมือง การสร้างสาธารณูปโภคอื่นๆ

กลับมาที่คูเมืองทั้ง 2 ชั้นกันต่อ การขุดคลองเชื่อมโยงระหว่างกัน ผู้เขียนคาดว่าเป็นแนวคิดในสมัยนั้นที่ทำให้เพิ่มหน้าที่ของคลองให้ Smart มากขึ้น เช่น การคมนาคม การป้องกันพระนคร การทำให้ชุมชนเข้าถึงน้ำกินน้ำใช้มากขึ้น การประกอบอาชีพ อาจรวมไปถึงการเกษตรด้วย

ดังนั้น รัชกาลที่ 1 จึงให้ขุดคลองลัดระหว่างคูเมืองทั้ง 2 ชั้น โดยขุดทางทิศเหนือ และ ทิศใต้ รวมทั้งสิ้น 2 คลอง โดยเรียกคลองนี้ว่า “คลองหลอด” และต่อมาก็ได้เรียกชื่อใหม่ว่า “คลองหลอดวัดราชนัดดา” และ “คลองหลอดวัดราชบพิธ” (สมัยรัชกาลที่ 1 ยังไม่สร้างวัดราชนัดดา และวัดราชบพิธ จึงเรียกว่าคลองหลอดเฉยๆ)


สรุป จะเห็นได้ว่า “คลองคูเมืองเดิม” ที่คนเข้าใจผิดเรียกว่า “คลองหลอด” ถูกสร้างในสมัยพระเจ้าตากสินฯ มีหน้าที่ไว้ป้องกันกรุงธนบุรีเท่านั้น แต่ ”คลองหลอด” ที่ถูกต้องนั้น ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ซึ่งถูกสร้างคนละช่วงเวลากับคลองหลอดที่เข้าใจผิด (แม้ปี พ.ศ.จะไม่ห่างกันมาก) และถูกสร้างมาคนละจุดประสงค์

ทั้งหมดที่เขียนมา เป็นข้อมูลทางวิชาการ หากนำไปใช้ในชีวิตจริง ก็เลือกใช้ให้ถูกสถานการณ์ หากนั่งรถแท็กซี่ แล้วบอกทางไปคลองคูเมืองเดิม แล้วโชเฟอร์ไม่เข้าใจ เราจะเรียกคลองหลอด (แบบผิดๆ) เพื่อให้ไม่หลงทาง ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ถ้าไปบรรยายในงานวิชาการ การไปเรียกคลองหลอด แทนคลองคูเมืองเดิม มันก็ดูไม่มืออาชีพ

ดังนั้น “การเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” เป็นสิ่งที่สำคัญของย่อหน้าสุดท้ายของบทความนี้